http://www.kruupdate.com/news/newid-1024.html กล่าวถึงการออกแบบการเรียนรู้แบบ
Backward Design (BwD) ว่า
การจัดการเรียนรู้หรือการสอนเป็นงานที่ครูทุกคนต้องใช้กลวิธีต่าง ๆ
มากมายเพื่อให้นักเรียนสนใจที่จะเรียนรู้และเกิดผลตามที่ครูคาดหวัง การจัดการเรียนรู้จัดเป็นศาสตร์ที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถ
ตลอดจนประสบการณ์อย่างมาก
ครูบางคนอาจจะละเลยเรื่องของการออกแบบการจัดการเรียนรู้หรือการออกแบบการสอน
ซึ่งเป็นงานที่ครูจะต้องทำก่อนการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ การออกแบบการจัดการเรียนรู้ทำอย่างไร
ทำไมจึงต้องออกแบบการจัดการเรียนรู้ ครูทุกคนผ่านการศึกษาและได้เรียนรู้เกี่ยวกับการออกแบบการจัดการเรียนรู้มาแล้ว
ในอดีตการออกแบบการจัดการเรียนรู้จะเริ่มต้นจากการกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้
การวางแผนการจัดการเรียนรู้ การดำเนินการจัดการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผลการเรียนรู้
ปัจจุบันการเรียนรู้ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม
รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทต่อการเรียนรู้ของนักเรียน
ซึ่งนักเรียนสามารถเรียนรู้ได้จากสื่อและแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ที่มีอยู่รอบตัว
ดังนั้นการออกแบบการจัดการเรียนรู้จึงเป็นกระบวนการสำคัญที่ครูจำเป็นต้องดำเนินการให้เหมาะสมกับศักยภาพของนักเรียนแต่ละคน
วิกกินส์และแมกไท
นักการศึกษาชาวอเมริกันได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการออกแบบการจัดการเรียนรู้
ซึ่งเขาเรียกว่า Backward Design ซึ่งเป็นการออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่ครูจะต้องกำหนดผลลัพธ์ปลายทางที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับนักเรียนก่อน
โดยเขาทั้งสองให้ชื่อว่า ความเข้าใจที่คงทน (Enduring Understandings) เมื่อกำหนดความเข้าใจที่คงทนได้แล้ว ครูจะต้องบอกให้ได้ว่าความเข้าใจที่คงทนของนักเรียนนี้เกิดจากอะไร
นักเรียนจะต้องมีหรือแสดงพฤติกรรมอะไรบ้าง
ครูมีหรือใช้วิธีการวัดอะไรบ้างที่จะบอกว่านักเรียนมีหรือแสดงพฤติกรรมเหล่านั้นแล้ว
จากนั้นครูจึงนึกถึงวิธีการจัดการเรียนรู้ที่จะทำให้นักเรียนเกิดความเข้าใจที่คงทนต่อไป
แนวคิดของ Backward Design
Backward Design
เป็นการออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่ใช้ผลลัพธ์ปลายทางเป็นหลัก
ซึ่งผลลัพธ์ปลายทางนี้จะเกิดขึ้นกับนักเรียนก็ต่อเมื่อจบหน่วยการเรียนรู้
ทั้งนี้ครูจะต้องออกแบบการจัดการเรียนรู้
โดยใช้กรอบความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลมีความสัมพันธ์กัน
จากนั้นจึงจะลงมือเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ ขยายรายละเอียดเพิ่มเติมให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพต่อไป
กรอบความคิดหลักของการออกแบบการจัดการเรียนรู้โดย
Backward Design มีขั้นตอนหลักที่สำคัญ 3 ขั้นตอน คือ
ขั้นที่ 1 กำหนดผลลัพธ์ปลายทางที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับนักเรียน
ขั้นที่ 2
กำหนดภาระงานและการประเมินผลการเรียนรู้ซึ่งเป็นหลักฐานที่แสดงว่านักเรียนมีผลการเรียนรู้ตามที่กำหนดไว้อย่างแท้จริง
ขั้นที่ 3 วางแผนการจัดการเรียนรู้
ขั้นที่ 1 กำหนดผลลัพธ์ปลายทางที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับนักเรียน
ก่อนที่จะกำหนดผลลัพธ์ปลายทางที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับนักเรียนนั้น
ครูควรตอบคำถามสำคัญต่อไปนี้
1.
นักเรียนควรจะมีความรู้ ความเข้าใจ และสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง
2.
เนื้อหาสาระใดบ้างที่มีความสำคัญต่อการสร้างความเข้าใจของนักเรียนและความเข้าใจที่คงทน
(Enduring Understandings)
ที่ครูต้องการจัดการเรียนรู้ให้แก่นักเรียนมีอะไรบ้าง
เมื่อจะตอบคำถามสำคัญดังกล่าวข้างต้น
ให้ครูนึกถึงเป้าหมายของการศึกษา
มาตรฐานการเรียนรู้ด้านเนื้อหาระดับชาติที่ปรากฏอยู่ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 รวมทั้งมาตรฐานการเรียนรู้ระดับเขตพื้นที่การศึกษาหรือท้องถิ่น การทบทวนความคาดหวังของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
เนื่องจากมาตรฐานแต่ละระดับจะมีความสัมพันธ์กับเนื้อหาสาระต่าง ๆ
ซึ่งมีความแตกต่างลดหลั่นกันไป ด้วยเหตุนี้ขั้นที่ 1 ของ Backward Design ครูจึงต้องจัดลำดับความสำคัญและเลือกผลลัพธ์ปลายทางของนักเรียน
ซึ่งเป็นผลการเรียนรู้ที่เกิดจากความเข้าใจที่คงทนต่อไป
ความเข้าใจที่คงทนของนักเรียน
ความเข้าใจที่คงทนคืออะไร
ความเข้าใจที่คงทนเป็นความรู้ที่ลึกซึ้ง ได้แก่ ความคิดรวบยอด ความสัมพันธ์
และหลักการของเนื้อหาและวิชาที่นักเรียนเรียนรู้
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นความรู้ที่อิงเนื้อหา ความรู้นี้เกิดจากการสะสมข้อมูลต่าง
ๆ ของนักเรียนและเป็นองค์ความรู้ที่นักเรียนสร้างขึ้นด้วยตนเอง
การเขียนความเข้าใจที่คงทนในการออกแบบการจัดการเรียนรู้
ถ้าความเข้าใจที่คงทน หมายถึง
สาระสำคัญของสิ่งที่จะเรียนรู้แล้ว ครูควรจะรู้ว่าสาระสำคัญหมายถึงอะไร คำว่า
สาระสำคัญ มาจากคำว่า Concept ซึ่งนักการศึกษาของไทยแปลเป็นภาษาไทยว่า
สาระสำคัญ ความคิดรวบยอด มโนทัศน์ มโนมติ และสังกัป
ซึ่งการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้นิยมใช้คำว่า สาระสำคัญ
สาระสำคัญเป็นข้อความที่แสดงแก่นหรือเป้าหมายเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
เพื่อให้ได้ข้อสรุปรวมและข้อแตกต่างเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
โดยอาจครอบคลุมข้อเท็จจริง กฎ ทฤษฎี
ประเด็น และการสรุปสาระสำคัญและข้อความที่มีลักษณะรวบยอดอย่างอื่น
ประเภทของสาระสำคัญ
1. ระดับกว้าง (Broad Concept)
ตัวอย่างสาระสำคัญระดับกว้าง
- การจำแนกรูปเรขาคณิต
ใช้วิธีพิจารณาขอบของรูป
2. ระดับการนำไปใช้ (Operative
Concept หรือ Functional Concept)
ตัวอย่างสาระสำคัญระดับนำไปใช้
- รูปเรขาคณิตสามารถจำแนกโดยพิจารณาขอบของรูป เช่น รูปสามเหลี่ยม รูปสี่เหลี่ยม รูปวงกลม
รูปวงรี
แนวทางการเขียนสาระสำคัญ
1. ให้เขียนสาระสำคัญของทุกเรื่อง
โดยแยกเป็นข้อ ๆ (จำนวนข้อของสาระสำคัญจะเท่ากับจำนวนเรื่อง)
2.
การเขียนสาระสำคัญที่ดีควรเป็นสาระสำคัญระดับการนำไปใช้
3.
สาระสำคัญต้องครอบคลุมประเด็นสำคัญครบถ้วน
เพราะหากขาดส่วนใดไปแล้วจะทำให้นักเรียนรับสาระสำคัญที่ผิดไปทันที
4. การเขียนสาระสำคัญที่จะให้ครอบคลุมประเด็นสำคัญวิธีการหนึ่งคือ
การเขียนแผนผัง
สาระสำคัญของการจำแนกรูปเรขาคณิตสามารถจำแนกโดยพิจารณาขอบของรูป
ได้แก่
•
สามเหลี่ยม เป็นรูปที่มีด้าน 3 ด้าน และมีมุม
3 มุม
•
รูปสี่เหลี่ยมเป็นรูปที่มีด้านสี่ด้านจดกัน และมีมุม 4 มุม
•
รูปวงกลมเป็นรูปที่ไม่มีด้านและไม่มีมุม และมีเส้นรอบวงยาวจากจุดศูนย์เท่ากัน
• รูปวงรีเป็นรูปที่ไม่มีด้าน ไม่มีมุม คล้ายรูปวงกลมแต่มีลักษณะรี และมีเส้นรอบวงยาวจากจุดศุนย์กลางไม่เท่ากัน
5.
การเขียนสาระสำคัญเกี่ยวกับเรื่องใดควรเขียนลักษณะเด่นที่มองเห็นได้หรือนึกได้ออกมาเป็นข้อ
ๆ
แล้วจำแนกลักษณะเหล่านั้นเป็นลักษณะจำเพาะและลักษณะประกอบ
6. การเขียนข้อความที่เป็นสาระสำคัญ
ควรใช้ภาษาที่มีการขัดเกลาอย่างดี
เลี่ยงคำที่มีความหมายกำกวมหรือฟุ่มเฟือย
ขั้นที่ 2
กำหนดภาระงานและการประเมินผลการเรียนรู้ซึ่งเป็นหลักฐานที่แสดงว่า
นักเรียนมีผลการเรียนรู้ตามที่กำหนดไว้อย่างแท้จริง
เมื่อครูกำหนดผลลัพธ์ปลายทางที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับนักเรียนแล้ว
ก่อนที่จะดำเนินการขั้นต่อไปขอให้ครูตอบคำถามสำคัญต่อไปนี้
- นักเรียนมีพฤติกรรมหรือแสดงออกในลักษณะใด จึงทำให้ครูทราบว่า
นักเรียนบรรลุผลลัพธ์ปลายทางตามที่กำหนดไว้แล้ว
- ครูมีหลักฐานหรือใช้วิธีการใดที่สามารถระบุได้ว่านักเรียนมีพฤติกรรมหรือแสดงออกตามผลลัพธ์ปลายทางที่กำหนดไว้
การออกแบบการจัดการเรียนรู้ตามหลักการของ
Backward Design
เน้นให้ครูรวบรวมหลักฐานการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ที่จำเป็นและมีหลักฐานเพียงพอที่จะกล่าวได้ว่า
การจัดการเรียนรู้ทำให้นักเรียนเกิดผลสัมฤทธิ์แล้วไม่ใช่เรียนแค่ให้จบตามหลักสูตรหรือเรียนตามชุดของกิจกรรมการเรียนรู้ที่ครูกำหนดไว้เท่านั้น
วิธีการของ Backward Design
ต้องการกระตุ้นให้ครูคิดล่วงหน้าว่า
ครูควรจะกำหนดและรวบรวมหลักฐานเชิงประจักษ์อะไรบ้างก่อนที่จะออกแบบหน่วยการเรียนรู้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักฐานดังกล่าวควรจะเป็นหลักฐานที่สามารถใช้เป็นข้อมูลย้อนกลับที่มีประโยชน์สำหรับผู้เรียนและครูได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ครูควรใช้วิธีการวัดและประเมินแบบต่อเนื่องอย่างไม่เป็นทางการและเป็นทางการ
ตลอดระยะเวลาที่ครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้แก่นักเรียน
ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดที่ต้องการให้ครูทำการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เรียกว่า
สอนไปวัดผลไป
จึงกล่าวได้ว่าขั้นนี้
ครูควรนึกถึงพฤติกรรมหรือการแสดงออกของนักเรียน
โดยพิจารณาจากผลงานหรือชิ้นงานที่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์
ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักเรียนเกิดผลลัพธ์ปลายทางตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้แล้วและเกณฑ์ที่ใช้ประเมินควรเป็นเกณฑ์คุณภาพในรูปของมิติคุณภาพ (Rubrics) อย่างไรก็ตามครูอาจจะมีหลักฐานหรือใช้วิธีการอื่น
ๆ เช่น การทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน การสัมภาษณ์ การศึกษาค้นคว้า
การฝึกปฏิบัติขณะเรียนรู้ประกอบด้วยก็ได้
การกำหนดภาระงานและการประเมินผลการเรียนรู้ซึ่งเป็นหลักฐานที่แสดงว่านักเรียนมีผลการเรียนรู้ตามผลลัพธ์ปลายทางที่กำหนดไว้แล้ว
หลังจากที่ครูได้กำหนดผลลัพธ์ปลายทางที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับนักเรียนแล้ว
ครูควรกำหนดภาระงานและวิธีการประเมินผลการเรียนรู้
ซึ่งเป็นหลักฐานที่แสดงว่านักเรียนมีผลการเรียนรู้ตามผลลัพธ์ปลายทางที่กำหนดไว้แล้ว
ภาระงาน หมายถึง งานหรือกิจกรรมที่กำหนดให้นักเรียนปฏิบัติ
เพื่อให้บรรลุตามจุดประสงค์การเรียนรู้/ตัวชี้วัดชั้นปี/มาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดไว้
ลักษณะสำคัญของงานจะต้องเป็นงานที่สอดคล้องกับชีวิตจริงในชีวิตประจำวัน
เป็นเหตุการณ์จริงมากกว่ากิจกรรมที่จำลองขึ้นเพื่อใช้ในการทดสอบ ซึ่งเรียกว่า
งานที่ปฏิบัติเป็นงานที่มีความหมายต่อผู้เรียน (Meaningful
Task) นอกจากนี้งานและกิจกรรมจะต้องมีขอบเขตที่ชัดเจน
สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้/ตัวชี้วัดชั้นปี/มาตรฐานการเรียนรู้ที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับนักเรียน
ทั้งนี้เมื่อได้ภาระงานครบถ้วนตามที่ต้องการแล้ว
ครูจะต้องนึกถึงวิธีการและเครื่องมือที่จะใช้วัดและประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนซึ่งมีอยู่มากมายหลายประเภท
ครูจะต้องเลือกให้เหมาะสมกับภาระงานที่นักเรียนปฏิบัติ
การออกแบบการเรียนรู้แบบ Backward Design นั้น เป็นแนวคิดของ Grant Wiggins และ Jay McTich ซึ่งคิดค้นเมื่อปี พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) โดยเขียนหนังสือเรื่อง Understanding by Design นักวิชาการชาวไทยที่นำมาพัฒนาเผยแพร่ คือ ดร.กษมา วรวรรณ ณ อยุธยา, ดร.เพ็ญนี หล่อวัฒนพงษา การออกแบบการเรียนรู้แบบ Backward
Design เป็นที่นิยมของโรงเรียนนานาชาติ
ได้เผยแพร่เป็นที่รู้จักในวงการศึกษาไทยจากการอบรมปฏิบัติการครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษา ในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2550 นอกจากนี้ ดอกเตอร์โกวิท ประวาลพฤกษ์
ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว) ได้จัดอบรมให้แก่โรงเรียนต่าง ๆ
ภายใต้หัวข้อการอบรมเรื่องการออกแบบการเรียนรู้แบบย้อนกลับ Backward
Design
การออกแบบการเรียนรู้แบบ Backward Design เป็นการออกแบบการเรียนรู้ที่ย้อนกลับ
เริ่มต้นจากปลายทางที่ผลผลิตที่ต้องการ โดยนำการวัดผลมาเป็นหลัก
จากนั้นจึงออกแบบหลักสูตรและแผนการเรียนการสอน
ขั้นตอนการออกแบบการเรียนรู้แบบ Backward Design มี
3 ขั้นตอน คือ
ขั้นตอนที่ 1 ออกแบบหน่วยการเรียนรู้หรือประเด็นการเรียนรู้หรือเป้าหมายการเรียนรู้
ขั้นตอนที่ 2 จัดทำผังการประเมินหรือวิเคราะห์ร่องรอยผลงานที่จะเกิดขึ้นกับผู้เรียน(หาหลักฐานการเรียนรู้)
ขั้นตอนที่ 3 ออกแบบการเรียนรู้
ตัวอย่างแผนการสอน
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5
จำนวนเต็ม
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 จำนวนเต็ม เวลา 1 ชั่วโมง
1. สาระสำคัญ
จำนวนเต็มแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ จำนวนเต็มบวก
ศูนย์และจำนวนเต็มลบ ซึ่งจำนวนเต็ม
บวกหรือจำนวนนับ ได้แก่ 1, 2, 3, ... ศูนย์
ได้แก่ 0 และจำนวนเต็มลบ ได้แก่ –1, –2, –3, ...
2. ตัวชี้วัดชั้นปี
1.
ระบุหรือยกตัวอย่าง และเปรียบเทียบจำนวนเต็มบวก จำนวนเต็มลบ
ศูนย์ เศษส่วน และ ทศนิยม (ค 1.1 ม. 1/1)
2. บวก ลบ คูณ หารจำนวนเต็ม
และนำไปใช้แก้ปัญหา ตระหนักถึงความ สมเหตุสมผลของคำตอบอธิบายผลที่เกิดขึ้นจากการบวก
การลบ การคูณ การหาร และบอกความสัมพันธ์ของ การบวกกับ การลบ การคูณ กับ
การหารของจำนวนเต็ม (ค 1.2 ม. 1/1)
3. นำความรู้และสมบัติเกี่ยวกับจำนวนเต็มไปใช้ในการแก้ปัญหา (ค 1.4 ม.
1/1)
4. ใช้วิธีการที่หลากหลายแก้ปัญหา
(ค 6.1 ม.
1/1)
5. ใช้ความรู้
ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีในการแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ
ได้อย่างเหมาะสม (ค 6.1 ม.
1/2)
6. ให้เหตุผลประกอบการตัดสินใจ
และสรุปผลได้อย่างเหมาะสม (ค 6.1 ม. 1/3)
7. ใช้ภาษาและสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ในการสื่อสาร
การสื่อความหมาย และการนำเสนอ ได้อย่างถูกต้อง และชัดเจน (ค 6.1 ม. 1/4)
8. เชื่อมโยงความรู้ต่าง ๆ
ในคณิตศาสตร์ และนำความรู้ หลักการ
กระบวนการทางคณิตศาสตร์ไปเชื่อมโยงกับศาสตร์อื่น ๆ (ค 6.1
ม. 1/5)
9. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
(ค 6.1 ม. 1/6)
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. ระบุหรือยกตัวอย่างจำนวนเต็มบวก
จำนวนเต็มลบ และศูนย์ได้ (K)
2. ทำงานเป็นระเบียบเรียบร้อย
รอบคอบ และมีความเชื่อมั่นในตนเอง (A)
3. การให้เหตุผล
การสื่อสาร การสื่อความหมาย การนำเสนอและการเชื่อมโยงหลักการความรู้
ทางคณิตศาสตร์กับศาสตร์อื่น (P)
4. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
ด้านความรู้ (K)
วิธีการวัดผลและการประเมินผล
|
เครื่องมือวัดและประเมินผล
|
เกณฑ์การวัด
|
1.
ตรวจผลการทำแบบทดสอบก่อน
|
– แบบทดสอบก่อนเรียน
|
–
|
เรียน
|
|
|
2. สังเกตจากการซักถาม
การแสดง
|
– แบบบันทึกผลการอภิปราย
|
ผ่านเกณฑ์เฉลี่ย 3 ขึ้นไป
|
ความคิดเห็น
การให้ข้อเสนอแนะ
|
– แบบบันทึกความรู้
|
|
และการอภิปรายร่วมกัน
|
|
|
3. ตรวจผลการปฏิบัติตาม
|
–
กิจกรรมฝึกทักษะ 2.1
|
ผ่านเกณฑ์เฉลี่ย 3 ขึ้นไป
|
กิจกรรมฝึกทักษะ 2.1
|
|
|
ด้านคุณธรรม
จริยธรรม และค่านิยม (A)
วิธีการวัดผลและการประเมินผล
|
เครื่องมือวัดและประเมินผล
|
เกณฑ์การวัด
|
1.
สังเกตพฤติกรรมขณะทำงาน
|
– แบบประเมินพฤติกรรมขณะ
|
ผ่านเกณฑ์เฉลี่ย 3 ขึ้นไป
|
ร่วมกับกลุ่ม
|
ทำงานร่วมกับกลุ่ม
|
|
2. ประเมินพฤติกรรมตามรายการ
|
– แบบประเมินด้านคุณธรรม
|
ผ่านเกณฑ์เฉลี่ย 3 ขึ้นไป
|
ด้านคุณธรรม จริยธรรม
|
จริยธรรม และค่านิยม
|
|
และค่านิยม
|
|
|
ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
วิธีการวัดผลและการประเมินผล
|
เครื่องมือวัดและประเมินผล
|
เกณฑ์การวัด
|
1.
สังเกตพฤติกรรมการสื่อสาร
|
– แบบประเมินด้านทักษะ/
|
ผ่านเกณฑ์เฉลี่ย 3 ขึ้นไป
|
การเชื่อมโยงหลักการความรู้
|
กระบวนการ
|
|
ทางคณิตศาสตร์
|
|
|
2. ประเมินพฤติกรรมตามรายการ
|
|
|
ประเมินด้านทักษะ/กระบวนการ
|
|
|
3. สังเกตขณะปฏิบัติตาม
|
– กิจกรรมฝึกทักษะ 2.1
|
ผ่านเกณฑ์เฉลี่ย 3 ขึ้นไป
|
กิจกรรมฝึกทักษะ 2.1
|
|
|
5. สาระการเรียนรู้
จำนวนเต็ม
6. แนวทางบูรณาการ
ภาษาไทย ตอบคำถามแสดงความคิดเห็น
และอภิปรายจำนวนเต็มบวก จำนวน เต็มลบ ศูนย์
สุขศึกษาฯ เล่นเกมจับคู่บัตรจำนวนเต็มบวก จำนวนเต็มลบ ศูนย์
ศิลปะ ออกแบบบัตรจำนวนเต็มบวก จำนวนเต็มลบ ศูนย์ ได้อย่างสวยงามและสร้างสรรค์
การงานอาชีพฯ ประดิษฐ์ของใช้ที่มีแนวความคิดตามเนื้อหาจำนวนเต็มจากเศษวัสดุเหลือใช้
7.
กระบวนการจัดการเรียนรู การออกแบบการเรียนรู้แบบ Backward Design
(BwD)
ขั้นที่ 1 นำเข้าสู่บทเรียน
1. ให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน จำนวน 25 ข้อ (25 คะแนน)
2.
ครูแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้
3.
ครูให้นักเรียนนับเลข 1–20 พร้อม ๆ กัน
ขั้นที่ 2 กิจกรรมการเรียนรู้
1. ครูอธิบายว่าจำนวนที่นักเรียนนับ
คือ 1–20 เรียกว่า จำนวนเต็มบวก แล้วตั้งคำถาม
เช่น
1)
จำนวน 20–100 เรียกว่า จำนวนเต็มบวกหรือไม่
เพราะอะไร
2)
จำนวน 100, 101, 102, ... เรียกว่าจำนวนอะไร
ครูตั้งคำถามเพิ่มเติมจน
นักเรียนเข้าใจเกี่ยวกับจำนวนเต็มบวก
2.
ให้นักเรียนนับจำนวนลดทีละ 1 จากจำนวน 2
ลงไปและครูอธิบายเพิ่มเติม เช่น
จำนวนหลัง 0 จะให้เป็น –1, –2, –3, … เรียกจำนวนเหล่านี้ว่าจำนวนเต็มลบ
ส่วนจำนวนที่อยู่ระหว่าง 1
และ –1 เรียกว่า ศูนย์
3.
ครูเขียนเส้นจำนวนบนกระดาน (มีแค่เส้นและสเกลแต่ไม่ระบุจำนวน)
4.
สุ่มนักเรียนให้เติมจำนวนเต็มตามสเกลต่าง ๆ ของเส้นจำนวน
ครูตั้งคำถามเพื่อให้
นักเรียนเข้าใจในเรื่องจำนวนเต็ม
เช่น
1)
เส้นจำนวนนี้มีจำนวนเต็มอะไรบ้าง
2)
จำนวนเต็มแต่ละจำนวนห่างกันเท่าไร
3)
จำนวนเต็มบวก จำนวนเต็มลบ และศูนย์ ควรเรียกรวมว่าอย่างไร
4)
สรุปได้ว่าจำนวนเต็มแบ่งออกเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง
5.
ให้นักเรียนทำกิจกรรมดังนี้
1)
ครูแจกบัตรจำนวนเต็ม ทศนิยม เศษส่วน ฯลฯ ให้นักเรียนคนละ 1–2
ใบ
2)
ครูตั้งคำถามเพื่อให้นักเรียนปฏิบัติตาม เช่น
–
ฉันเป็นจำนวนเต็มบวก ฉันอยู่ไหน?
–
ฉันเป็นจำนวนเต็มลบ ฉันอยู่ไหน ?
–
ฉันคือ ศูนย์ ฉันอยู่ไหน?
–
ฉันไม่ใช่จำนวนเต็ม ฉันอยู่ไหน?
ฯลฯ
3)
นักเรียนปฏิบัติตามคำถามของครู
โดยการยืนขึ้นและชูบัตรที่เกี่ยวข้องกับคำถาม
4)
ครูทำการตรวจสอบคำตอบที่นักเรียนลุกขึ้นแต่ละครั้งด้วย
ขั้นที่ 3 ฝึกฝนผู้เรียน
1.
ให้นักเรียนทำกิจกรรมฝึกทักษะ 2.1 ข้อ 1–2 หน้า 23 หนังสือเรียน
รายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร์ ม. 1 เล่ม 1 (บริษัท
สำนักพิมพ์วัฒนาพานิช จำกัด)
2. นักเรียนร่วมกันอภิปรายเฉลยกิจกรรมฝึกทักษะ
2.1 ข้อ 1–2 หน้า 23 หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน คณิตศาสตร์ ม.
1 เล่ม 1 (บริษัท สำนักพิมพ์วัฒนาพานิช
จำกัด) โดยครูให้ความช่วยเหลือ และแนะนำ
ขั้นที่ 4 การนำไปใช้
นักเรียนและครูร่วมกันสนทนาเพื่อนำเข้าสู่จำนวนเต็ม
โดยนำสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันมาอภิปราย เช่น
เปรียบเทียบการเติมน้ำมันรถยนต์ของลุงแดงกับลุงดำ
ขั้นที่ 5 สรุปความคิดรวบยอด
นักเรียนช่วยกันสรุปบทเรียน
เรื่องจำนวนเต็ม
8. กิจกรรมเสนอแนะ
แบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็นกลุ่ม
กลุ่มละ 4–5 อภิปรายหัวข้ออะไรคือจำนวนเต็ม
แล้วนำเสนอผลการอภิปรายหน้าชั้นเรียน
9. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1. บัตรจำนวนเต็ม
ทศนิยม เศษส่วน ฯลฯ
2.
หนังสือเรียน
รายวิชาพื้นฐาน คณิตศาสตร์ ม. 1 เล่ม 1 (บริษัท
สำนักพิมพ์ วัฒนาพานิช
จำกัด)
แหล่งการเรียนรูเพิ่มเติม
1. หนังสือเสริมความรู้คณิตศาสตร์
2. บุคคลต่าง ๆ
เช่น ครู เพื่อน ญาติ ผู้รู้ด้านคณิตศาสตร์
3. อินเทอร์เน็ต
ข้อมูลในการศึกษาเรื่อง จำนวนเต็ม
10. บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้
1. ความสำเร็จในการจัดการ_________________________________________________
แนวทางการพัฒนา_____________________________________________________
2. ปัญหา/อุปสรรค ในการจัดการเรียนรู้_________________________________________
แนวทางแก้ไข_________________________________________________________
3. สิ่งที่ไม่ได้ปฏิบัติตามแผน_________________________________________________
เหตุผล_____________________________________________________________
4. การปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ __________________________________________
__________________________________________________________________
ลงชื่อ __________________________
ผู้สอน
_______ / ________ / ________
สรุป
กล่าวโดยสรุปแล้ว Backward Design เป็นกระบวน
การออกแบบการเรียนรู้ที่นำ
มาตรฐานการเรียนรู้มาเป็นเป้าหมายการจัดการเรียนการสอน
โดยที่ครูผู้สอนจะต้องออกแบบวางแผน
กำหนดหลักฐานการเรียนรู้ที่จะแสดงให้เห็นว่าผู้เรียนสามารถบรรลุซึ่งจุดหมายหลักสูตรรายวิชานั้นๆ
และนอกจากนั้นครูผู้สอนจะต้องออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้
มีทักษะและ
แสดงความสามารถ
ตามหลักฐานที่เป็นผลจากการเรียนรู้ของผู้เรียนที่กำหนดไว้
การออกแบบการเรียนรู้แบบ Backward Design ที่ได้หยิบยกมาแลกเปลี่ยนความรู้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเนื้อหา ยังคงมีรายละเอียดอีกมากมายให้ศึกษา เช่น รูปแบบการประเมินผู้เรียน
ในแต่ละวงของการออกแบบการเรียนรู้ในขั้นที่ 1 เทคนิคการใช้คำถามของผู้สอน และอื่นๆอีกมากมาย ที่จะให้ท่านร่วมเติมเต็มความสมบูรณ์
ที่มา
ธนสาร บัลลังก์ปัทมา. (2550).
https://www.gotoknow.org/posts/224435.
[ออนไลน์] เข้าถึงเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2561.
สุระ
ดามาพงษ์. (2551). http://www.kruupdate.com/news/newid-1024.htm. [ออนไลน์] เข้าถึงเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2561.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น